ในประเทศ

สสส. สานพลัง มส.ผส. เปิดเวทีวิชาการชวนสังคมไทยคิดใหม่ ถอดโจทย์ “การขยายอายุการทำงาน”

พลิกโฉมวัยเกษียณ! สสส. สานพลัง มส.ผส. เปิดเวทีวิชาการชวนสังคมไทยคิดใหม่ ถอดโจทย์ “การขยายอายุการทำงาน” หลังพบอายุเกษียณสวนทางอายุขัยเฉลี่ย ท่ามกลางความท้าทายสูงวัยไทย 2 ใน 3 ไร้เงินออม หรือ 66.7% รายได้ไม่ถึงร้อยต่อวัน 19.9% เร่งออกแบบระบบเกษียณยืดหยุ่น ผลักดันสู่ข้อเสนอนโยบายของประเทศ มุ่งสร้างรายได้-คืนคุณค่าผู้สูงวัย-ไม่กระทบคนรุ่นใหม่

เมื่อเวลา 13.00 น. วันที่ 18 ธ.ค. 2568 ที่โรงแรมทีเค.พาเลซ แอนด์ คอนเวนชั่น กรุงเทพฯ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ร่วมกับ มูลนิธิสถาบันวิจัยและพัฒนาผู้สูงอายุไทย (มส.ผส.) จัดเวทีวิชาการและสื่อสารสาธารณะ “การขยายอายุการทำงานสำหรับผู้สูงอายุ: ทางรอด ทางเลือก หรือทางตัน ในวิกฤติสังคมสูงวัย” เพื่อเปิดพื้นที่กลางทางวิชาการให้ทุกภาคส่วนได้ร่วมแลกเปลี่ยนข้อมูล ข้อเท็จจริง และแนวทางเชิงนโยบายอย่างรอบด้าน

CHUENCHEEWAA

นางภรณี ภู่ประเสริฐ ผู้ช่วยผู้จัดการกองทุน สสส. กล่าวว่า ปัจจุบันประเทศไทยมีประชากรประมาณ 66 ล้านคน โดยเป็นผู้สูงอายุกว่า 13 ล้านคน และในอีกไม่ถึง 20 ปีข้างหน้า จำนวนผู้สูงอายุจะเพิ่มขึ้น 20 ล้านคน จากการสำรวจประชากรสูงอายุปี 2567 ของสำนักงานสถิติแห่งชาติ พบว่า ผู้สูงอายุครึ่งหนึ่งเป็นผู้มีรายได้น้อย โดย 31.6% มีรายได้ต่อปี 30,000-59,999 บาท เฉลี่ยวันละ 83-167 บาท และอีก 19.9% มีรายได้ต่อปีน้อยกว่า 30,000 บาท เฉลี่ยน้อยกว่าวันละ 83 บาท โดย 2 ใน 3 ของผู้สูงอายุไม่มีเงินออม หรือคิดเป็น 66.7% และมีผู้สูงอายุที่ยังต้องทำงานอยู่ 5.26 ล้านคน คิดเป็น 37.2% ด้วยเหตุผลที่ว่ายังมีสุขภาพแข็งแรง ยังทำงานไหว และมีความจำเป็นด้านรายได้ ซึ่งสะท้อนว่า ผู้สูงอายุจำนวนไม่น้อยไม่ได้อยากเป็นภาระ แต่ต้องการมีบทบาทและคุณค่าในสังคม

“การขยายอายุการทำงานเป็นหนึ่งในโจทย์เชิงโครงสร้างสำคัญของประเทศ ทั้งในมิติแรงงาน เศรษฐกิจ การคลัง และความเป็นธรรมระหว่างรุ่น ที่ต้องคำนึงถึงสุขภาวะในทุกมิติ ทั้งสุขภาพกาย สุขภาพจิต ความมั่นคงทางรายได้ และความรู้สึกมีคุณค่าในตนเอง สสส. จึงร่วมกับ มส.ผส. เปิดพื้นที่กลางให้ทั้งภาครัฐ นักวิชาการ ภาคเอกชน และภาคประชาชน ได้ร่วมกันแลกเปลี่ยนข้อมูล และมุมมองเชิงนโยบาย เพื่อออกแบบทางเลือกที่ทำให้การทำงานในวัยสูงอายุ เป็นทั้งโอกาสทางเศรษฐกิจ เป็นฐานของสุขภาวะ และไม่สร้างความเหลื่อมล้ำ ความรู้สึกไม่เป็นธรรม หรือกระทบโอกาสของคนรุ่นอื่นในสังคม ผ่านการเชื่อมโยงองค์ความรู้จากงานวิชาการ เกิดเป็นข้อเสนอและเข้าสู่กระบวนการกำหนดนโยบายของประเทศต่อไป” นางภรณี กล่าวฃ

นางสุทธิกานต์ ชุณสุทธิวัฒน์ ผู้จัดการมูลนิธิสถาบันวิจัยและพัฒนาผู้สูงอายุไทย กล่าวว่า การจัดเวทีครั้งนี้ไม่ใช่การผลักดันนโยบายใดนโยบายหนึ่งล่วงหน้า แต่ มส.ผส. อยากสร้างพื้นที่กลางให้สังคมไทยได้ทำความเข้าใจ “โจทย์สังคมสูงวัย” อย่างเป็นระบบและรอบด้าน เพื่อสังเคราะห์เป็นองค์ความรู้กลางสำหรับใช้สนับสนุนการพิจารณานโยบายด้านการขยายอายุการทำงาน และเสนอต่อพรรคการเมืองในอนาคต เพราะสังคมสูงวัยไม่ใช่เรื่องของผู้สูงอายุเท่านั้น แต่คืออนาคตของคนทุกวัย และการขยายอายุการทำงานจะเป็น “ทางรอด ทางเลือก หรือทางตัน” ขึ้นอยู่กับการออกแบบระบบที่ตั้งอยู่บนข้อมูล ความเข้าใจ และการมีส่วนร่วมของสังคมโดยรวม ดังนั้นการขยายอายุการทำงานจึงไม่ควรถูกมองเป็นเพียงมาตรการแก้ปัญหาการขาดแคลนแรงงานหรือการลดภาระงบประมาณบำนาญเท่านั้น แต่อยากให้สอดคล้องกับอายุขัยที่ยืนยาวขึ้น

ผศ.ดร.ศุภชัย ศรีสุชาติ รองอธิการบดีฝ่ายการคลัง มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า จากข้อมูลเชิงประชากรและการคลัง ประเทศไทยกำลังเผชิญความไม่สอดคล้องเชิงโครงสร้างระหว่างอายุเกษียณราชการที่กำหนดไว้ที่ 60 ปี กับอายุขัยเฉลี่ยของประชาชนที่เพิ่มขึ้นเป็นเกือบ 79 ปี ขณะเดียวกัน ข้อมูลข้าราชการพลเรือนสามัญปี 2567 ระบุว่า หากไม่มีนโยบายขยายอายุเกษียณ ในช่วง 5-10 ปีข้างหน้า จะมีข้าราชการเกษียณกว่า 94,000 คน หรือเกือบ 1 ใน 4 ของระบบราชการ ซึ่งจะเพิ่มแรงกดดันต่อภาระการคลังในระยะยาว การขยายอายุเกษียณจึงไม่สามารถทำแบบเหมารวมได้ เพราะมีผลกระทบต่อโครงสร้างตำแหน่ง การเลื่อนขั้น และโอกาสของคนรุ่นใหม่ การปรับเข้าสู่ ระบบเกษียณแบบยืดหยุ่น (Flexible Retirement) จึงเป็นแนวทางที่เหมาะสม โดยทยอยปรับอายุเกษียณแบบเป็นขั้นบันได ควบคู่กับการปฏิรูปกำลังคน วางแผนสืบทอดตำแหน่ง และการบริหารการเปลี่ยนผ่านอย่างรอบคอบ

รศ.ดร.แก้วขวัญ ตั้งติพงศ์กูล รองคณบดีฝ่ายวิเทศสัมพันธ์ และผู้อำนวยการกลุ่มนโยบายสาธารณะและความยั่งยืนในสังคมสูงวัย คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า อุปสรรคสำคัญของการจ้างงานผู้สูงอายุ คือการปรับตัวด้านเทคโนโลยี การแข่งขันกับแรงงานรุ่นใหม่ แรงงานต่างด้าว รวมถึงระบบอัตโนมัติและ AI ขณะเดียวกัน รายได้หลังเกษียณจากระบบประกันสังคมและเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุยังอยู่ในระดับจำกัด ทำให้ผู้สูงอายุจำนวนมากจำเป็นต้องทำงานต่อ ซึ่งจากการศึกษาพบว่า ภาคเอกชนมีรูปแบบการจ้างงานผู้สูงอายุที่หลากหลาย ทั้งจ้างแบบเต็มเวลา และแบบบางเวลา ขึ้นอยู่กับประสบการณ์ ประสิทธิภาพ ความสามารถในการปรับตัว และต้นทุนด้านค่าตอบแทนและสวัสดิการ ซึ่งสะท้อนว่า หัวใจของนโยบายไม่ใช่การกำหนดอายุเดียวกันทั้งระบบ แต่คือการออกแบบความยืดหยุ่นและแรงจูงใจที่เหมาะสม ทั้งด้านกฎหมายประกันสังคม มาตรการภาษี การพัฒนาทักษะ และระบบจับคู่งาน เพื่อทำให้การจ้างงานผู้สูงอายุเป็นทางเลือกที่คุ้มค่าสำหรับนายจ้าง