ในประเทศ

สสส. ปั้นนวัตกรรุ่นใหม่ หัวใจสุขภาวะ กว่า 250 ทีม ประชันไอเดียแข่งนวัตกรรมสร้างเสริมสุขภาพระดับชาติ

สุดปัง! สสส. ปั้นนวัตกรรุ่นใหม่ หัวใจสุขภาวะ กว่า 250 ทีม ประชันไอเดียแข่งนวัตกรรมสร้างเสริมสุขภาพระดับชาติ Prime Minister’s Award for Health Promotion Innovation 2023 “สันติ รมช.สธ.” ปลื้มนวัตกรรมคนไทย ตอบโจทย์สังคม 6 ปี เกือบ 1500 ทีม มีนวัตกรรมลดความเหลื่อมล้ำทางสุขภาพ คนพิการ-สูงวัย-แรงงานนอกระบบ

เมื่อวันที่ 30 พ.ย. 66 ที่ ณ ศูนย์การประชุม อิมแพ็ค ฟอรั่ม เมืองทองธานี สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) จัดพิธีประกาศผลและมอบรางวัลการประกวด “Prime Minister’s Award for Health Promotion Innovation 2023” เพื่อพัฒนานวัตกรรมสร้างเสริมสุขภาพ สานพลังเครือข่ายกลุ่มคนทำงานด้านนวัตกรรม สร้างนวัตกร หัวใจสุขภาวะ โดยมี นายสันติ พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานในพิธีและมอบรางวัลให้กับทีมชนะการประกวด นายสันติ กล่าวว่า โลกยุคปัจจุบัน คนไทยให้ความใส่ใจด้านสุขภาพเชิงป้องกันมากขึ้น หลังเกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 และการเตรียมพร้อมรับมือเข้าสู่สังคมสูงวัยอย่างเต็มรูปแบบ ส่งผลต่อการใช้ชีวิต และมุมมองด้านสุขภาพของผู้คนเป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มกิจกรรมทางกาย ทานอาหารที่มีประโยชน์ หรือการดูแลสุขภาพใจ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการ ใช้ชีวิตอย่างมีสุขภาวะ นวัตกรรมสร้างเสริมสุขภาพ เป็นหนึ่งในกลไกที่มีบทบาทสำคัญมากขึ้น ทำให้สังคมตระหนัก อย่ารอให้ร่างกายเสียแล้วค่อยมาซ่อมสุขภาพ แต่มาสร้างสุขภาพให้ร่างกายแข็งแรงเพื่อป้องกันโรค ลดภาระค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาล ลดการสูญเสียของประเทศ

“สสส. ได้รับความกรุณาจากท่านนายกรัฐมนตรีให้การประกวดนี้เป็นรางวัลระดับชาติเป็นปีที่ 3 นวัตกรรมสร้างเสริมสุขภาพของทุกทีม นำความภาคภูมิใจมาให้กับสังคม และวงการสุขภาพของไทย เห็นได้จากความทุ่มเท และความพยายามของทุกท่าน ไม่ว่าจะเป็นนักเรียน นักศึกษา นักคิด กลุ่ม Startup และกลุ่มภาคี สสส. ที่ร่วมกันคิด ริเริ่มอย่างสร้างสรรค์จนออกมาเป็นผลงานนวัตกรรมสร้างเสริมสุขภาพ ที่ตอบโจทย์ตรงประเด็นสุขภาพคนไทย นวัตกรรมช่วยลดพฤติกรรมเสี่ยงในกลุ่มโรค NCDs และปีนี้กลุ่มประชาชนทั่วไป/Startup ผลักดันไอเดีย และต้นแบบนวัตกรรม การเข้าถึงเทคโนโลยีการสร้างเสริมสุขภาพ สำหรับกลุ่มผู้ขาดโอกาสการเข้าถึง เช่น ผู้สูงอายุ คนพิการ แรงงานนอกระบบ ขอบคุณ สสส. ที่ขับเคลื่อนสร้างนวัตกรรมที่หลากหลาย เท่าเทียมทุกกลุ่มประชากรไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง ทั้งสานพลังจากภาคส่วนต่าง ๆ เพื่อให้นวัตกรรมสร้างเสริมสุขภาพขยายผลต่อยอด นี่คือจุดเริ่มต้นของการพัฒนาประเทศ พัฒนาศักยภาพคนที่จะเป็นนวัตกร สนับสนุน และสร้างสรรค์สังคมสุขภาวะ ที่สำคัญคือการสร้างเครือข่ายกลุ่มคนทำงานสร้างเสริมสุขภาพ เป็นโอกาสที่จะต่อยอดไปสู่ระดับนานาชาติในอนาคต” นายสันติ กล่าว

รศ.นพ.สรนิต ศิลธรรม กรรมการกองทุน สสส. และ ประธานอำนวยการจัดประกวดฯ กล่าวว่า สสส. เล็งเห็นความสำคัญของนวัตกรรมสร้างเสริมสุขภาพ ที่นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงทั้งด้านนโยบาย สิ่งแวดล้อม เสริมสร้างความเข้มแข็งของชุมชน รวมถึงพฤติกรรมให้มีสุขภาวะครบ 4 มิติ สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ 10 ปีของ สสส. ในเรื่อง “การสนับสนุนงานวิชาการ และรังสรรค์นวัตกรรม” ผ่านการดำเนินโครงการ และกิจกรรมต่าง ๆ โดยการประกวดฯ ครั้งนี้ เพื่อจุดประกายนวัตกร สร้างนวัตกรรม เพิ่มทักษะความรู้ ต่อยอดผลงานให้เกิดขึ้นจริง โดยมีนวัตกรเข้าร่วม 250 ทีม ทุ่มเทแรงกาย แรงใจ เข้าร่วมกิจกรรมพัฒนาศักยภาพตลอด 4 เดือน เช่น การสร้างเสริมสุขภาพ การสร้างความเข้าใจความเหลื่อมล้ำทางสุขภาพ กระบวนการพัฒนานวัตกรรม พัฒนาแผนธุรกิจ ต่อยอดผลงาน และแนวทางสร้างความยั่งยืน โดยมีผู้เชี่ยวชาญทางด้านต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องให้คำปรึกษาตลอดกิจกรรม เชื่อว่านักเรียน นักศึกษา startup และ ภาคี สสส. ที่ได้เข้าร่วมการประกวดในครั้งนี้ จะเป็นความหวังในการขับเคลื่อนงานสร้างเสริมสุขภาพในอนาคตได้อย่างแน่นอน

ดร.สุปรีดา อดุลยานนท์ ผู้จัดการกองทุน สสส. กล่าวว่า การทำงานตลอด 22 ปี ของ สสส. ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงต่อสังคมไทยหลายด้าน สสส. มุ่งเน้นแก้ไขต้นเหตุที่ก่อให้เกิดปัญหาสุขภาพของคนไทย ซึ่งการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมสุขภาพให้มีสุขภาวะที่ดีขึ้น จำเป็นต้องใช้ “นวัตกรรม” โดยเริ่มจากโครงการประกวดนวัตกรรมสร้างเสริมสุขภาพ ภายใต้ชื่อ ‘ThaiHealth Inno Awards’ ตั้งแต่ปี 2560 สู่การยกระดับเป็นรางวัลระดับชาติ

ตลอดระยะเวลา 6 ปี มีทีมส่งผลงานเข้าประกวดจากทั่วประเทศ จำนวน 1,484 ทีม เพาะเมล็ดพันธุ์นวัตกรรุ่นใหม่ เกือบ 6,000 คน บ่มเพาะแนวคิดการสร้างเสริมสุขภาพ ทักษะพัฒนานวัตกรรม และการต่อยอดขยายผลงาน พัฒนาต้นแบบนวัตกรรมสร้างเสริมสุขภาพกว่า 170 ผลงาน การก้าวสู่ทศวรรษที่ 3 ของ สสส. จึงเป็นหมุดหมายที่เหมาะสม ปรับเปลี่ยนบทบาทการทำงานให้ตอบโจทย์กับปัญหาสุขภาพยุคปัจจุบันยิ่งขึ้น ในรูปแบบการทำงานเชิงรุก วิเคราะห์ปัญหาที่ต้องเผชิญ สานพลังภาคีหานวัตกรรมใหม่ และสร้างการเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืน เพื่อสร้างโลกที่ดีกว่าให้สังคมไทยในอนาคต