กิน-เที่ยว

ศิลปินสาวแชร์ประสบการณ์ติดโควิดที่เกาะมาลาปาสกัว แถมพาสปอร์ตหาย

ศิลปินสาวแชร์ประสบการณ์ติดโควิดที่เกาะมาลาปาสกัว  แถมพาสปอร์ตหาย!…เกิดอะไรขึ้นกับชีวิต!!ที่ต้องเผชิญชะตากรรมลำพังในต่างแดน!!”

เมื่อสามอาทิตย์ที่แล้ว ศิลปินนักวาด ครูสอนขนมไทย “โบว์- มนต์ริสสา ลีนุตพงษ์” ได้เดินทางออกนอกประเทศ เป็นครั้งแรกในรอบสามปีหลังโควิด เธอตื่นเต้นมากกับการได้กลับมาดำน้ำต่างประเทศ อีกครั้งหนึ่ง

และแล้วสิ่งที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นมันมากมาย จนทำให้เธอ เปลี่ยนไปเป็นคนละคน​  เมื่อกลับมาถึงเมืองไทย เธอกลายเป็นคนที่แข็งแกร่งขึ้นอย่างเหลือเชื่อ!

เธอเลือกเดินทางไปเกาะมาลาปาสกัว ประเทศฟิลิปปินส์เป็นที่แรกสำหรับในรอบสามปีนี้ อันที่จริงแล้ว มีลางไม่ดีมาตั้งแต่ก่อนออกนอกประเทศ เพราะนอกจากการดำเนินการเอกสารที่ยุ่งยากที่ทำให้เธอร้องไห้ไปหลายรอบ เธอยังโดนเว็บมิจฉาชีพหลอก ให้จ่ายเงินค่าทำเอกสาร one health pass ทำให้เธอต้องอายัดบัตรเครดิตก่อนออกประเทศ และจำเป็นต้องใช้บัตรเสริมของคุณพ่อแทน คืนวันก่อนเดินทาง

เมื่อวันเดินทางก็มาถึง การเดินทางขาไปถึงจะนาน แต่ก็ราบรื่น ไม่มีปัญหาอะไร เธอก็ได้ดำน้ำอย่างสนุกสนานและได้เจอสิ่งที่ไม่คาดฝันถึง 2 อย่างใต้น้ำ  นอกจาก เธอจะได้คลิปสวยๆ ของ Thresher shark กลับมาอวดทางโซเชียล  จนตอนนี้เลย 20,000 วิว ไปแล้ว เธอยังได้เจอฉลามเสือ อีก! ซึ่งถือว่าแจ๊กพ็อตสุดๆ ทั้งทริปก็ไม่มีใครเลยที่ได้เห็น นอกจากกลุ่มของเธอ และ มีเธอเพียงคนเดียวที่ถ่ายได้ ! แถมยังเป็นคลิปที่สวยมาก แสงเทลงในจังหวะนั้นพอดี เรียกว่าเพอร์เฟค ครบองค์ประกอบ เพียงแค่สองคลิปนี้มันก็ทำเธอเคลิ้มและฟินมากๆ จนขาดสติ และพูดบางอย่างกับเพื่อนที่เป็นลางไม่ดีออกไป !

ในวันที่สองและสาม เมื่อลงน้ำเธอก็เริ่มมีอาการหนาวสั่นและรู้สึกหนาวผิดปกติ  แต่ไม่ได้คิดอะไรคิดเพียงว่า แค่แพ้อากาศหนาว เธอพูดเล่นๆ กับเพื่อนว่า “สองคลิปนี้นะ สองตัวนี้ที่เราเจอ เราว่ามันคุ้มมากๆ มากแบบชนิดที่ว่าติดโควิด สามรอบเรายังว่าคุ้ม ”   แต่แล้วด้วยอาการป่วย เธอจึงหยุดดำน้ำในวันที่สี่  แต่ในใจยังคิดเสมอว่าแค่นี้ก็คุ้มแล้ว เธอไม่รู้สึกเสียดายอะไร ถึงแม้เธอจะเชื่อว่าเธอไม่ได้ติดโควิด แต่เธอก็จำเป็นต้องตรวจเผื่อไว้ก่อน ปรากฏว่าช็อควงการ  เมื่อมันขึ้นสองขีดจริงๆ  เธอถึงกับ มึนตึ้บ เพราะอยู่ห่างไกลบ้าน อย่าว่าแต่บ้านเลยขนาดเมืองใหญ่ยังห่างไปตั้งหกชั่วโมง !

เธอเริ่มโทรปรึกษาเพื่อนที่ไทยว่าเอายังไงดี และตกลงกับตัวเองว่า จะไม่บอกคุณพ่อคุณแม่ให้กังวล จนกว่าจะเข้าไปใน immigration สนามบินได้ และ เธอร่างจดหมายให้คุณพ่อคุณแม่เตรียมไว้ พอเข้าไปใน ตม. แล้วจะ copy paste ที่เขียนไว้ให้คุณแม่เลย

เหลือเวลาอีกหนึ่งวันก่อนจะเดินทางไปสนามบิน  ตั้งแต่เริ่มมีอาการ เธอกินฟ้าทะลายโจรที่เตรียมไป (เผื่อฉุกเฉิน)​ ดักไว้บ้างแล้ว แต่พอรู้ตัวว่าติด ก็กินอีกหนักขึ้น สี่เม็ดสี่ครั้งต่อวัน รวมถึงวิตามินซี พาราเซด คอยเช็คอุณหภูมิร่างกายตลอด ก่อนออกจากเกาะ อุณหภูมิปกติ เธอเชื่อว่าเป็นเพราะการดูแลตัวเองที่ดีรวมถึงวัคซีนที่ได้รับมาแล้วสี่เข็ม และเธอเป็นลูกหมอเธอรู้ตัวดีว่าต้องระวังไม่ให้ลงปอด แต่ถึงกระนั้นสิ่งที่เธอกลัวที่สุดมันไม่ใช่เรื่องลงปอด แต่กลัวไม่ได้กลับบ้านและถูกกักตัวอยู่ที่นั่น 

เมื่อไปถึงสนามบินโชคเหมือนจะช่วย พนักงานสายการบิน จัดให้ขึ้นเครื่องเร็วขึ้น 1 flight  มันทำให้เธอต้องรีบเร่งมากๆ และไม่มีเวลาทานอะไรเลย และด้วยความเร่งรีบ  พนักงานสายการบินก็ยัด bag tag กระเป๋าทุกคนให้อยู่ภายใต้ชื่อหัวหน้าทัวร์คนเดียวเพื่อความรวดเร็ว ตอนนั้นก็ไม่ได้คิดอะไรเนื่องจาก ก็ไปด้วยกันอยู่แล้ว พอเข้าไปข้างในได้ เธอก็ copy paste จดหมายนั้นให้คุณแม่และคุณพ่อว่า “ไม่ต้องห่วงนะโบว์ ติดโควิด แต่โบว์เข้ามาข้างในได้แล้ว ตอนนี้อยู่ Cebu กำลังจะขึ้นเครื่องไปมะนิลาแล้วจะบินกลับไทยเดี๋ยวเจอกันนะคะ”

เธอเดินหาน้ำเพื่อทานยาเพราะอาการเธอเริ่มไม่ดี  สุดท้ายเธอก็ได้ทานน้ำตอนอยู่บนเครื่อง และเธอยังไม่ได้ทานอะไรเลยแต่เช้า ซึ่งพอขึ้นเครื่องได้เธอก็พูดเป็นลางอีกครั้งว่า “ถึงตอนนี้นะฉันรู้ว่าฉันติดโควิด แต่การที่ได้สองคลิปนั้นมา มันก็ยังคุ้มฉันยืนยัน” ซึ่งมองกลับไปแล้วเธอคิดว่านั่นเป็นการท้าทายดินฟ้าดินและมันเป็นสิ่งที่ไม่ควรพูดอย่างยิ่ง !

และแล้วหนังสยองขวัญก็เริ่มขึ้น …. เมื่อเครื่องลงเธอก็หยิบสัมภาระตามปกติและขึ้นรถบัสไปยังทางเข้าสนามบิน ปรากฏว่าระหว่างอยู่ในบัส เธอพบว่าพาสปอร์ตไม่มีอยู่ในกระเป๋าหาเท่าไหร่ก็ไม่เจอ เธอเลยบอกเพื่อนว่าเข้าไปก่อนเลย เดี๋ยวเธอจะกลับไปหาที่เครื่องบิน เธอก็นั่งบัสคันเดิมกลับไปที่เครื่องบินและบอกพนักงานว่าพาสปอร์ตอาจจะตกอยู่ที่นั่ง ทางเดิน หรือกระเป๋าหน้าของเก้าอี้ แต่ก็ไม่มีไม่มีเลยจริงๆ

เธอแพนิคมากๆ  เริ่มร้องไห้และโทรกลับหาที่บ้านและบอกขอโทษคุณแม่ ว่าอุตส่าห์ตั้งใจจะไม่ให้เป็นห่วงวางแผนแล้วว่าจะกลับไปรักษาตัว แต่ก็ต้องทำให้เป็นห่วงกว่าเดิมอีก และเกิดปัญหาซ้ำเติมขึ้น เมื่อกระเป๋าของเธอที่อยู่ภายใต้ชื่อเพื่อนที่จะถูกจัดส่งไปที่ประเทศไทย ทำให้เธอติดอยู่ที่มะนิลา ด้วยโรคโควิด ไม่มียา ไม่มีเสื้อผ้าใส่ แต่ยังดีที่มีเงินและ มีนางฟ้าพนักงานสายการบิน คอยช่วยเหลือเธอในเวลานั้น ถึงตอนนี้ทั้งสองคนกลายเป็นมิตรที่ดีต่อกันมากๆ อย่างไรก็ดี ในวันนั้น เธอทำได้แค่จองโรงแรม เลื่อนตั๋วขากลับ และโดนจ่ายค่า panalty ที่เลื่อนตั๋ว โดยไม่บอกภายใน 24 ชั่วโมง ส่วนเรื่องแจ้งความ ต้องรอเป็นวันจันทร์เลยเพราะเธอส้มหล่น โชคดีซ้อนสาม ที่ดันไปติดวันเสาร์อาทิตย์พอดี ! สถานทูตและสถานีตำรวจปิดทำการ

เหมือนเคราะห์ซ้ำกรรมซัดที่กระหน่ำมาไม่ยั้ง  ในที่สุดเธอก็หาข้าวทานได้ในเวลาหนึ่งทุ่ม เพลียเต็มทีด้วยร่างคน  เป็นโควิดด้วย เธอก็รีบกลับเข้าโรงแรม และทานยาที่มีติดอยู่ในกระเป๋า มื้อสุดท้ายของเธอ คือฟ้าทะลายโจรและพาราเซตและวิตามินเซตสุดท้าย เธอรู้ดีว่า ก่อนถึงวันจันทร์ที่เธอสามารถดำเนินเรื่องกลับประเทศไทยได้ ระหว่างนี้เธอต้องหาซื้อเสื้อผ้าใส่ และซื้อยารักษาโรค บนความโชคร้ายเธอยังมีโชคดีอยู่บ้าง เธอยังมีคุณแม่ที่ช่วยประสานกลับท่านผู้ช่วยทูตทหารที่จะพาเธอดำเนินเรื่องพาสปอร์ตกลับเข้าประเทศไทย

​มีบัตรเครดิตที่ใช้จ่ายเพื่อปัจจัย 4 มีเพื่อนที่ช่วยหาแหล่งที่พักที่สะดวกและมีคุณพ่อที่เป็นหมอคอยสั่งยาให้ ซึ่งเธอมารู้ที่หลังว่าฟิลิปปินส์เป็นประเทศที่จ่ายยายากมาก ปกติต้องมีใบแพทย์ แต่เธอโดนถามแค่ว่าคนจ่ายยา  คือหมอใช่ไหมเห็นจาก LINE ของคุณพ่อ ซึ่งเธอก็ไม่ได้โกหกนะ เพราะคุณพ่อเธอเป็นหมอจริงๆ ก็ถือว่าทางร้านขายยาปราณีมากๆที่ไม่ขอใบแพทย์ และนับจากนั้นเป็นเวลาสองวันเธอก็ต้องทานยาปฏิชีวนะแทนฟ้าทะลายโจรเพราะเธอไม่มีแล้ว มันอยู่ในกระเป๋าใหญ่ที่ไปถึงไทยแล้ว

ในสภาพที่มึนงง ตกใจและเป็นโควิด นอนไม่พอ ตื่นตี 4 เป็นเวลาหลายวันติดๆ กัน (เพราะฉลามมาตอน 7โมงเช้า) ในความเป็นจริงมันก็ไม่ได้ง่ายเลย

แค่การซื้อยาเธอก็เดินไปกลับสามรอบแล้ว ด้วยอาการอ่อนเพลีย งุนงงหลงลืม ทำให้ลืมมือถือไว้ที่ร้านขายชุดชั้นในที่ซื้อสำหรับวาระฉุกเฉินนี้ แต่ในที่สุดเธอก็ซื้อยาได้ครบและได้ทานข้าวก่อนจะนอนในเวลาประมาณเที่ยงคืน

ในคืนวันต่อมา ก่อนจะถึงวันจันทร์ วันดำเนินการ passport เธอได้รับข่าวจากทางบ้านว่า คุณพ่อบุญธรรมเธอเสียแล้ว…เธอก็ได้แต่มองรูปคุณพ่อด้วยความเศร้าและเสียใจที่ไม่ได้อำลาด้วยตัวเอง

ในเช้าวันจันทร์ ท่านผู้ช่วยทูตทหารก็มารับด้วยรถเบนซ์ มากับผู้ช่วยและคนขับอีกหนึ่งคน พวกเขาเดินทางไปสน. ตามนัดที่สนามบิน ต่อมาตำรวจก็พาพวกเขาไปทำ Affitavit of loss ซึ่งต้องนั่งรถไปอีกที่หนึ่ง รถที่ทางสน.จัดให้นั้น เห็นแล้ว ผู้ช่วยท่านทูตทหารถึงกับขำออกมา และต้องถ่ายเซลฟี่กันเลยทีเดียว เพราะเป็นรถที่ทำให้ทั้งสามคนรู้สึกเหมือนเป็นผู้ต้องหา เป็นรถตู้เปิดท้าย นั่งในความร้อนไม่มีแอร์เมื่อไปถึงแล้วเธอก็ถึงกับอึ้งกิมกี่เพราะว่าสำนักงานรับแจ้งความนั้น เหมือนป้อมยามเล็กๆในต่างจังหวัดของเมืองไทยเมื่อ 20 ปีที่แล้ว แต่ก็มีความน่ารักอยู่ที่คนพิมพ์นายนั้นจริตเปรี้ยวพอควร นางบอกว่าตัวเองเป็นมิสฟิลิปปินส์ และเธอ เป็นมิสไทยแลนด์

หลังจากทำเรื่องตรงนี้  เธอก็ต้องไปให้ความต่อให้อีก สน. เพื่อออกหนังสือแจ้งหายอีกเป็น ชั่วโมง จากนั้นถึงไปทำพาสปอร์ตที่สถานทูตไทย ใช้เวลา อีกราวเกือบ 2 ชั่วโมง  เมื่อเธอได้พาสปอร์ตชั่วคราวมาแล้ว แต่มันก็ไม่จบเท่านั้น ทางสถานทูตบอกให้ไปออกแสตมป์ที่ห้างแห่งหนึ่ง เข้าใจว่าการแสตมป์เป็นขั้นตอนสุดท้ายก่อนจะได้บินกลับ ซึ่งปรากฏว่าเมื่อไปถึงที่สำนักงาน แต่เนื่องจากช่วงโควิด ระบบเปลี่ยน ทางนั้นไม่ยอมแสตมป์ให้! จึงต้องนั่งรถไปไกลมากเพื่อไปสำนักงานใหญ่และไปดำเนินเอกสารอีกสามใบ ! ถึงตอนนี้เธอเริ่มตื่นกลัว ผวา หนัก กลัวว่าจะไม่ได้กลับไทยอีกแล้ว

ในเวลาเดียวกันนี้ เพื่อนที่รอพาสปอร์ตใหม่ของเธอเพื่อนำไปทำวีซ่ากลุ่มสำหรับทริปต่อไป ก็เร่งมาอีกว่า เมื่อไหร่จะไปต่อพาสปอร์ตใหม่ เนื่องจากพาสปอร์ตที่หายใกล้หมดอายุพอดี 

และด้วยความเหนื่อยล้า จากเหตุการณ์ทั้งหลายที่ถาโถม ขณะนั่งรถไปสำนักงานใหญ่ เธอก็หลับไปอย่างควบคุมตัวเองไม่ได้ เมื่อไปถึงสน.ก็เป็นเวลาราว 3 โมงเย็นแล้ว ซึ่งเธอรู้ดีระบบราชการอีกไม่กี่ชั่วโมงก็อาจจะปิดทำการแล้วซึ่งนั่นแปลว่าเธออาจจะต้องตกเครื่องอีกในตอนเช้าวันรุ่งขึ้น หากเธอไม่ทำให้เสร็จภายใน 2 ชั่วโมงนี้ เธอเลยเกิดอาการแมนขึ้นมา กลายเป็นผู้ชายขึ้น ณ บัดดล เพราะเธอไม่มีทางเลือก เมื่อไปถึงสำนักงานก็ชี้ช่องดำเนินการผิดกับคุณผู้ช่วยถึงสามรอบ จนเธอเริ่มฉุน เมื่อบอกครั้งสุดท้ายให้ขึ้นข้างบนชั้น3 เป็นจุดที่เธอเริ่มเดินนำคุณผู้ช่วย เพราะเธอรู้ว่า เหลือเวลาอีกไม่มาก จะเกรงใจไม่ได้อีกแล้ว เธอเริ่มถามเองว่าต้องใช้เอกสารอะไรบ้างทำอะไรบ้าง และชั่วโมงหนึ่งต่อมาในที่สุดเธอก็ได้แสตมป์พาสปอร์ตมา

เธอกล่าวกับคุณผู้ช่วยว่าไม่รบกวนแล้วกลับได้เลย  แต่ช่วยกด grab ให้เธอหน่อย เธอจะไปเช็คว่าทางสนามบินจะไม่งงกับพาสปอร์ตชั่วคราวที่เธอได้ เพราะถึงตอนเช้าเธอ ไม่มีเวลาไปถกเถียงอะไรอีก เพราะ flight มันเช้ามาก   เธอได้รู้ว่า grab สามารถใช้ระบบเดียวกันที่ใช้ในไทยได้ พอเข้าไปก็จะกลายเป็นเส้นทางของฟิลิปปินส์เลย เธอก็นั่งรถไปสนามบินและไปเจอนางฟ้าสายการบิน (ซึ่งกลายเป็นเพื่อนของเธอไปแล้วตอนนี้)​

เค้าได้พาเธอเข้าไปถามถึงข้างในตรง belt ซึ่งจริงๆ จะไม่ให้คนนอกเข้า  หากไม่ใช่เวลาเช็คอิน แต่ด้วยความเป็นเพื่อนเธอก็ใช้สิทธิ์พาเข้าไปจนได้ และก็ได้คำตอบว่าพาสปอร์ตชั่วคราวอันนี้ สามารถใช้งานได้ไม่มีปัญหา เธอดีใจมาก  คืนนั้น เธอเช็ค atk อีกทีปรากฏว่า ขีดแดงเหลือขีดเดียวแล้ว​ ผลเป็นลบ ปลอดภัยแล้ว และวันต่อมาเธอก็ได้บินกลับถึงบ้านโดยสวัสดิภาพ!

พอถึงไทยเธอก็รีบหาซื้อกระเป๋า sling bag ดีๆมาห้อยติดตัวไว้ สำหรับใส่พาสปอร์ตเป็นพิเศษ เรียกได้ว่าจะไม่ให้มีโอกาสห่างจากตัวอีกเป็นอันขาด !

คำแนะนำเล็กๆน้อยๆสำหรับผู้ที่ทำพาสปอร์ตหายในประเทศด้อยพัฒนา ควรที่จะเลื่อนตั๋วอย่างต่ำ 1 วัน แต่ถ้าติดเสาร์อาทิตย์น่าจะอย่างต่ำ 2 วัน  ไม่งั้นจะทำพาสปอร์ตเล่มชั่วคราวไม่ทันและอาจต้องเลื่อนตัวอีกหลายรอบหากไม่มีเส้นสายคอยช่วยเหลือ

หวังว่าคุณๆ จะได้เรียนรู้จากประสบการณ์ของเธอไม่มากก็น้อย

ขอบคุณภาพดำน้ำ แหล่งข้อมูลจาก instagram @bowmonrissa