ในประเทศ

เปิด 4 วิกฤตที่เด็กไทยต้องเผชิญเร่งสร้างคุณภาพตั้งแต่เริ่มต้นชีวิต

-เด็กไทยตายเฉลี่ยปีละ 6,847 คน

-ปี 67 เด็กและเยาวชนเสียชีวิตจากอุบัติเหตุบนท้องถนน รวม 2,192 ราย

-เด็กและเยาวชน 70% โตในครัวเรือนที่มีรายได้น้อย

-เด็กเล็ก 42.6% ไม่ได้อยู่กับครอบครัวที่สมบูรณ์ เช่น พ่อแม่หย่าร้าง อยู่กับปู่ย่า ตายาย

จากสถิติข้างต้นเป็นเพียงเสี้ยวหนึ่งของชีวิตเด็กไทยที่ต้องเผชิญอยู่ ทั้งในเรื่องของคุณภาพชีวิต ความรักความอบอุ่นจากครอบครัว สุขภาพร่างกาย-ใจ รวมทั้งยาเสพติด การพนันออนไลน์ ขณะเดียวกันสิ่งที่ประเทศไทยกำลังเผชิญอยู่นั่นคือ วิกฤตอัตราการเกิดน้อยลง ที่สวนทางกลับตัวเลขของผู้สูงอายุที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

เมื่ออัตราการเกิดน้อยลง และพบว่าเด็กที่เกิดมาส่วนใหญ่มาจากครอบครัวที่ด้อยคุณภาพในทุกๆด้าน สิ่งเหล่านี้จะสะท้อนให้เห็นว่า เด็กในวันนี้ต้องเจอกับสิ่งที่คุกคามคุณภาพชีวิตให้ต่ำลง แล้วอนาคตคุณภาพของประชาชนจะไปในทิศทางใด หากสังคมและภาครัฐไม่เข้ามาเร่งแก้และวางรากฐานเพื่อสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับเด็กและเยาวชนตั้งแต่วันนี้ ที่ผ่านมา สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) และภาคีเครือข่ายจัดงาน ThaiHealth Watch 2026 จับตาทิศทางสุขภาพคนไทย ปี 2569 “ปลูกอนาคตเด็กไทยด้วยสุขภาพกายใจที่แข็งแรง” 

นพ.พงศ์เทพ วงศ์วัชรไพบูลย์ ผู้จัดการ สสส. กล่าวว่า สิ่งที่เด็กและเยาวชนไทยต้องเผชิญจากสถิติของหน่วยงานต่างๆพบว่า ในปี 61-66 เราไม่สามารถช่วยชีวิตเด็กไว้ได้ มีเด็กไทยตายเฉลี่ย  6,847 คน  และในปี 2567 เด็กและเยาวชนเสียชีวิตจากอุบัติเหตุบนท้องถนน รวม 2,192 ราย และ 83% มาจากรถจักรยานยนต์ที่เป็นพาหนะที่เด็กซ้อนท้ายเป็นจำนวนมาก และอีก 83% นี้เป็นเด็กที่ไม่ได้สวมหมวกกันน็อก และสิ่งที่เด็กกลุ่มเปราะบางต้องเผชิญอีกสิ่งเร้าที่เป็นพิษ การพนัน รวมทั้งพนันออนไลน์มีเด็กและเยาวชนสามารถเข้าถึงสิ่งเหล่านี้ถึง 4.98 ล้านคน และสามารถเข้าถึงการใช้สารเสพติดทั้งบุหรี่ สุรา บุหรี่ไฟฟ้า กัญชาใบกระท่อม จำนวน 52.3%

ส่วนทางด้านจิตใจ ในปี 2566 พบว่า เด็ก เยาวชน และผู้ใหญ่ตอนต้นฆ่าตัวตายสำเร็จ รวม 1,076 คน ในกลุ่มนี้จะเป็นกลุ่มที่มีความคิดฆ่าตัวตายตั้งแต่วัยเด็ก และอีก 88.2% รู้สึกว่าไม่มีใครรัก ด้านครอบครัว70% ของเด็กและเยาวชนมาจากครอบครัวที่มีรายได้น้อย และมีเด็กเล็กอีก 42.6% ไม่ได้อยู่ในครอบครัวที่สมบูรณ์

นพ.พงศ์เทพ กล่าวว่า  ในครั้งนี้ สสส. อยากชวนทุกภาคส่วนหันกลับมามองสุขภาวะเด็กและเยาวชน เพราะสุขภาวะของเด็กเยาวชนก็สะท้อนสุขภาวะของประเทศเช่นกันใน 4 ประเด็น คือ 1.พลิกวิกฤตประชากรไทย ด้วยการลงทุนในพัฒนาการตั้งแต่วัยแรกเริ่ม เมื่อพัฒนาการของเด็กเล็กหรือเด็กปฐมวัย อายุ 0-6 ปี ถือเป็นรากฐานสำคัญที่สุดของชีวิต ขณะที่จำนวนเด็กเกิดใหม่ลดน้อยลงทุกปี จึงต้องใส่ใจสร้างรากฐานการพัฒนาเด็ก สสส. สานพลังภาคีผลักดันให้เกิดมาตรฐานคุณวุฒิวิชาชีพผู้อำนวยการเล่น ตลอดจนขับเคลื่อนให้มีลานเล่นอิสระในชุมชนเพิ่มขึ้น จากรายงานผลการดำเนินงานส่งเสริมการเล่นอิสระปี 2565-2566 พบว่า เด็กปฐมวัยและวัยประถมศึกษามีความสุขเพิ่มขึ้น มีพัฒนาการตามวัย มีทักษะชีวิต และลดเวลาการใช้หน้าจอมากถึง 21,000 คน 2.อ้วนในเด็กไม่ใช่แค่เรื่องบนจาน แต่คือความเคยชินที่ฝังลึกในบ้านและโรงเรียน รายงานแผนที่โรคอ้วนโลก (World Obesity Atlas 2024) ระบุว่า เด็กไทยเกือบ 1 ใน 3 คน มีภาวะอ้วน และเสี่ยงต้องเผชิญกับโรคไม่ติดต่อ (NCDs) กระทบการเรียนรู้ และพัฒนาการทางสังคม สสส. สร้างระบบสุขภาพ แก้ปัญหาเด็กอ้วนผ่านการสร้างต้นแบบโรงเรียนรู้เท่าทันสื่อสุขภาพในหัวข้อ “อย่าปล่อยให้เด็กอ้วน (ลดหวาน มัน เค็ม เพิ่มผักและผลไม้)” เพื่อสร้างค่านิยมเปลี่ยนพฤติกรรมโภชนาการผ่านกระบวนการออกแบบสื่อสร้างสรรค์การลดอ้วนในเด็ก ผลลัพธ์การดำเนินงานพบว่า นักเรียนสามารถเลือกบริโภคอาหารได้อย่างเหมาะสม สนใจเคลื่อนไหวร่างกายมากขึ้น และน้ำหนักตัวที่ลดลงอย่างเป็นระบบ

“3.คลิกแรกสู่หนี้ก้อนโต สร้างภูมิคุ้มกันเยาวชนเท่าทันออนไลน์ ก่อนถึงคลิกที่แพงที่สุด การติดตามความเคลื่อนไหวบนสื่อสังคมออนไลน์ช่วง 1 ปีที่ผ่านมา (1 ก.ค. 2567-30 มิ.ย. 2568) พบว่า บาคาร่า สล็อต และเว็บพนัน ถูกพูดถึงเป็นอย่างมาก โดยมีการเข้าถึงรวมมากกว่า 5 ล้านคนตลอดทั้งปี สสส. สานพลังภาคีขับเคลื่อนร่างกฎหมายว่าด้วยการกระทำผิดต่อเด็กผ่านสื่อออนไลน์ มุ่งสร้างปัจจัยแวดล้อมที่เอื้อต่อการมีระบบนิเวศสื่อเพื่อสุขภาวะผ่าน ร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. (การกระทำความผิดต่อเด็กผ่านสื่อออนไลน์) ตามที่กระทรวงยุติธรรม (ยธ.) เสนอ โดยร่างกฎหมายอยู่ระหว่างส่งต่อให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาพิจารณาแก้ไข ก่อนเข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภาต่อไป 4.เมื่อสถิติไม่เคยโกหก ความเสี่ยงที่ผู้ใหญ่กำลังส่งต่อลูกหลานบนท้องถนน ปี 2567 มีผู้เสียชีวิตจากรถจักรยานยนต์ 14,144 ราย โดยเป็นเด็กไทยเฉลี่ยกว่า 1,300 คนต่อปี โดยเฉพาะกลุ่มอายุต่ำกว่า 2 ปีที่อุ้มซ้อนท้าย ขณะที่ผลการสำรวจของเด็ก มีการสวมหมวกกันน็อกอยู่ที่ประมาณ 8-16% เท่านั้น สสส. สานพลังภาคีเครือข่ายโดยองค์การปกครองท้องถิ่น กองการศึกษา ศูนย์เด็กเล็ก รพ.สต. และอื่นๆ  จัดทำเป้าหมายการขยายผลและขับเคลื่อนธนาคารหมวกกันน็อกด้วยกองทุนสุขภาพตำบล (สปสช.) โดยหวังผลให้เกิดเป็นธนาคารหมวกกันน็อกในศูนย์พัฒนาเด็กเล็กต้นแบบร้อยละ 80 จากพื้นที่ดำเนินงานเดิม หรือคิดเป็นจำนวน 2,430 แห่งทั่วประเทศ เพื่อลดความสูญเสียที่เกิดขึ้นกับเด็กเยาวชนให้ได้มากที่สุด” ผู้จัดการกองทุน สสส. กล่าว  

ด้าน น.ส.ณัฐยา บุญภักดี ผู้อำนวยการสำนักอาวุโส สำนักสนับสนุนสุขภาวะเด็ก เยาวชน และครอบครัว สสส. กล่าวว่า จากบริบทสังคมไทยในปัจจุบัน เด็กและเยาวชนต้องเผชิญกับปัจจัยเสี่ยงเชิงโครงสร้างที่ซับซ้อน เช่น ความเปราะบางของครอบครัว ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ ความรุนแรงในสังคม ปัญหาสิ่งแวดล้อม และการขาดพื้นที่เรียนรู้ สสส. มุ่งมั่นที่จะสร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงระบบ และทุกระดับ ส่งเสริมให้ชุมชนท้องถิ่นเชื่อมโยงกับหน่วยงานต่างๆ ในระดับอำเภอและจังหวัด สู่นโยบายภาพใหญ่ระดับประเทศ เพื่อให้ทุกครอบครัวมีศักยภาพในการเลี้ยงดูเด็กทุกกลุ่มวัยให้มีสุขภาวะ เด็กทุกคนมีโอกาสเติบโตเต็มศักยภาพของตนเอง โดยขับเคลื่อนผ่านการสนับสนุนโครงการในระดับตำบลและจังหวัด สนับสนุนกิจกรรมครอบครัวและกิจกรรมเยาวชนตลอดทั้งปี อาทิ มหกรรมครอบครัวยิ้ม เทศกาลเล่นอิสระ เทศกาลปลูกสุข แคมเปญปิดเทอมสร้างสรรค์

น.ส.ณัฐยา กล่าวว่า  สสส.ได้ร่วมกับภาคีต่างๆ ร่วมกันจัดทำ 5Roots of Health ใน 5 ด้าน ได้แก่ สุขภาพ,ความรัก,ความปลอดภัย,โภชนาการ และการเรียนรู้ ที่ผ่านมา ได้มีการทำงานร่วมกับชุมชน เป็น เป็นชุมชนนำ จังหวัดหนุน ใน 24 จังหวัด 225 ตำบล ,มี 1,048 พื้นที่เรียนรู้กิจกรรมสร้างสรรค์ และมี 7 ศูนย์บ่มเพาะพื้นที่เรียนรู้ ภายใต้แนวคิดที่ว่า “เลี้ยงเด็กหนึ่งคน ใช้คนทั้งหมู่บ้าน”

ทั้งนี้ ThaiHealth Watch 2026 เป็นเวทีที่ สสส. ใช้สร้างความตระหนักรู้เพื่อกระตุ้นสังคมให้พร้อมรับมือกับสถานการณ์ในอนาคต ผู้ที่สนใจสามารถติดตามข้อมูลได้เว็บไซต์ศูนย์เรียนรู้สุขภาวะที่ https://resourcecenter.thaihealth.or.th/healthtrend