ในประเทศ

“ดื่มแล้วขับ” =  ส่งต่อภาระให้คนข้างหลัง

ผลลัพธ์ของการดื่มแล้วขับไม่ได้จบง่ายๆเหมือนอย่างที่หลายคนคิด ผลพวงของการเกิดอุบัติเหตุจากเมาแล้วขับส่งผลให้คนที่อยู่ข้างหลังต้องมารับภาระในด้านต่างๆ อีกทั้งยังต้องสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รัก หรือบางครอบครัวต้องได้รับผลกระทบจากคนที่เป็นเสาหลักของครอบครัวพิการหรือจากไปอย่างไม่มีวันกลับ

ที่ โรงแรมThe Quarter Ratchayothin by UHG  กรุงเทพฯ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ(สสส.) สำนักงานเครือข่ายลดอุบัติเหตุ (สคอ.) ร่วมกับภาคีเครือข่าย จัดแถลงข่าว “ดื่มไม่ขับ คนข้างหลังเป็นห่วง” ปีใหม่ 2569 เพื่อสร้างกระแสการรับรู้และความตระหนักลดความเสี่ยงในการขับขี่ช่วงเทศกาล ภายใต้แนวคิด “ปีใหม่ ดื่มไม่ขับ คนข้างหลังเป็นห่วง” พร้อมกับการรณรงค์“ ดื่มแล้วขับ ไม่ได้ดับแค่คุณคนเดียว” ผลิตสปอตรณรงค์ชุด “ผลกระทบ” เพื่อสื่อสารสะท้อน “ผลกระทบที่ไม่สิ้นสุด” ที่เกิดจากการดื่มแล้วขับ ที่ไม่ได้ส่งผลแค่ตัวผู้ขับขี่ แต่ยังส่งผลไปถึง “คนที่อยู่ข้างหลัง” อีกจำนวนมาก

สสส.ชวนคนไทย “ปีใหม่ ดื่มไม่ขับ คนข้างหลังเป็นห่วง”

ดร.นพ.ไพโรจน์ เสาน่วม รองผู้จัดการกองทุนสสส. กล่าวว่า สสส.ร่วมกับเครือข่ายร่วมรณรงค์ลดอุบัติเหตุในช่วงเทศกาลปีใหม่2569ภายใต้แนวคิด “ปีใหม่ ดื่มไม่ขับ คนข้างหลังเป็นห่วง” เพื่อสะท้อนให้เห็นว่า  คนหนึ่งคนสูญเสียชีวิตจากอุบัติเหตุจะมีผลกระทบตามมาอีกหลายเรื่อง โดยเฉพาะเรื่องสำคัญคือ ครอบครัว คนข้างหลัง ทั้งลูก เมีย เศรษฐกิจ เรื่องเหล่านี้เราต้องร่วมรณรงค์อย่างจริงจัง ซึ่งโดยปกติเราจะทำกันอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะช่วงวันสำคัญที่มีวันหยุดต่อเนื่องที่จะมาเน้นย้ำเป็นพิเศษ และในปีนี้ยังมีการออกแคมเปญ“ ดื่มแล้วขับ ไม่ได้ดับแค่คุณคนเดียว” ผลิตสปอตรณรงค์ชุด “ผลกระทบ” เพื่อสื่อสารสะท้อน “ผลกระทบที่ไม่สิ้นสุด” ที่เกิดจากการดื่มแล้วขับ ที่ไม่ได้ส่งผลแค่ตัวผู้ขับขี่ แต่ยังส่งผลไปถึง “คนที่อยู่ข้างหลัง” อีกจำนวนมาก

เทศกาลปีใหม่มีวันหยุดยาวต่อเนื่อง ประชาชนจำนวนมากเดินทางกลับบ้านและท่องเที่ยว สสส. ขอเชิญชวน “ปีใหม่ ดื่มไม่ขับ คนข้างหลังเป็นห่วง” เพื่อกระตุ้นเตือนเน้นความความสำคัญของการดื่มไม่ขับ ข้อมูลอุบัติเหตุทาง ถนนของประเทศไทย มีแนวโน้มลดลงต่อเนื่อง และลดลงได้มากกว่า 30% ในกลุ่มวัยรุ่น แต่น่าเป็นห่วงในกลุ่มผู้สูงอายุ ในช่วงเทศกาลปีใหม่สาเหตุหลักของการเกิดอุบัติเหตุทางถนนมาจาก “ดื่มแล้วขับ-ขับรถเร็ว-ตัดหน้ากระชั้นชิด” รวมถึงความเหนื่อยล้า หรือ ง่วงแล้วขับ และยังพบว่า 50% ของกลุ่มผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุ มักเกิดเหตุไม่ไกลจากบ้านหรือที่พักในรัศมี 5-10 กิโลเมตร การใช้ความเร็วเป็นความเสี่ยงสำคัญที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุโดยเฉพาะบนทางหลวง เพราะรถที่ใช้ความเร็วแค่เพียง 80 กิโลเมตร/ชั่วโมง แรงปะทะเมื่อเกิดการชน เท่ากับตกตึก 8 ชั้น และความเร็ว 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง แรงปะทะเท่ากับตกตึก 13 ชั้น “ลดความเร็ว=เซฟชีวิต”

ดร.นพ.ไพโรจน์ กล่าวต่อว่า ในชุมชนท้องถิ่น สสส. ได้สนับสนุนการป้องกันอุบัติเหตุจราจรระดับจังหวัด (สอจร.) หนุนเสริม อปท.ตั้ง“ด่านชุมชนปากหวาน” ใช้แนวคิดบังคับเชิงบวกที่คนทำงานต้องปรับมุมมอง วิธีคิด และวิธีสื่อสารกับผู้กระทำผิด จากการตำหนิเป็นการสื่อสารเชิงบวก เพื่อช่วยให้เกิดการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ใน 10 จังหวัด 45 อำเภอเสี่ยงสูง เพื่อเพิ่มการ สวมหมวก ลดการบาดเจ็บและเสียชีวิต

“ สสส.ชวนคนไทย “สวดมนต์ข้ามปี ที่วัดใกล้บ้าน”ถวายเป็นพระราชกุศลแด่สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เพื่อเป็นสิริมงคลแก่ชีวิต” ดร.นพ.ไพโรจน์ กล่าว 

ดื่มแล้วขับ ส่งผลให้ครอบครัว “ขาดเสาหลัก ขาดผู้นำ และขาดที่พึ่ง”

นายพรหมมินทร์  กัณธิยะ ผู้อำนวยการสำนักงานเครือข่ายลดอุบัติเหตุ (สคอ.) กล่าวว่า ผลกระทบจาก “ดื่มแล้วขับ” ไม่ได้กระทบเฉพาะผู้ขับขี่ แต่ยังลุกลามไปถึง “คนข้างหลัง” อีกจำนวนมาก โดยสามารถแบ่งผลกระทบออกเป็น 3 ระยะสำคัญ ซึ่งแต่ละระยะสร้างภาระทั้งด้านชีวิต ความเป็นอยู่ และเศรษฐกิจครอบครัวอย่างต่อเนื่อง ได้แก่ 1. ระยะสั้น ครอบครัวอาจต้องเผชิญการสูญเสียหัวหน้าครอบครัว และรายได้หลักของบ้าน โดยเฉพาะกรณีที่ผู้ขับขี่เป็นเสาหลักของครอบครัว ส่งผลให้คนข้างหลัง “ขาดเสาหลัก ขาดผู้นำ และขาดที่พึ่ง” เป็นผลกระทบแบบเฉียบพลันที่เกิดขึ้นทันที 2. ระยะกลาง คือภาระค่าใช้จ่ายที่ตามมา ไม่ว่าจะเป็นค่าซ่อมรถ ค่าชดเชยให้คู่กรณีที่เสียชีวิต รวมถึงค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาล ซึ่งเป็นภาระที่หนักขึ้นทับซ้อนในช่วงที่ครอบครัวกำลังเปราะบาง 3. ระยะสุดท้าย หากคนดื่มแล้วขับเป็นฝ่ายผิด และคู่กรณีเสียชีวิต อาจเกิดการฟ้องร้องเรียกค่าสินไหมชดเชยไปถึงลูกเมีย แม้คนเมาแล้วขับจะเสียชีวิตไปแล้ว ซึ่งถูกมองว่าเป็น “มรดกที่ไม่มีใครอยากได้” เพราะทรัพย์สินที่มีอาจต้องถูกนำมาขายเพื่อชดเชยให้คู่กรณี บางครอบครัวอาจถึงขั้นล่มสลาย และต้องต่อสู้ทางกฎหมายยืดเยื้อเป็นเวลานาน แม้ไม่สามารถห้ามคนดื่มได้ แต่สิ่งที่น่าเสียใจที่สุดคือ “คนที่ไม่ดื่ม” ต้องมาเสียชีวิต หรือพิการ เพราะคนดื่มแล้วขับ ทั้งที่ไม่ควรต้องเป็นผู้รับผลจากความประมาทของใคร สุดท้ายคุณต้องไม่ลืมว่า ดื่มแล้วขับ คนข้างหลังเป็นห่วง

ไม่จำกัดเวลาขายเครื่องดื่มแอกอฮอล์ เชื่อมีผลกระทบแน่นอน

นายวิษณุ ศรีทะวงศ์ ประธานมูลนิธิเครือข่ายพลังสังคม กล่าวว่า การจากที่ภาครัฐไม่จำกัดเวลาซื้อขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์นั้นจะทำให้การดื่มขยายตัวเพิ่มมากขึ้น รวมถึงสิ่งที่เครือข่ายฯกังวลคือ การจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายของธุรกิจแอลกอฮอล์น่าจะมีเพิ่มมากขึ้น จะผลิตคนเมาลงถนนมากขึ้นเช่นกัน เป็นสิ่งที่เราเป็นห่วง ทั้งนี้ เครือข่ายฯ จะดำเนินการเฝ้าระวังในพื้นที่จัดงานเทศกาลส่งท้ายปีเก่าในพื้นที่ต่าง ๆ ทั่วประเทศ โดยคาดว่าแนวโน้มของอุบัติเหตุและการทะเลาะวิวาทจะสูงขึ้น เพราะมีจุดจำหน่าย ช่วงเวลาการขาย และกิจกรรมส่งเสริมการขายเพิ่มขึ้นในหลายพื้นที่ จนอาจกลายเป็นแหล่งผลิตคนเมาลงท้องถนนเพิ่มขึ้น

ดังนั้นเครือข่ายฯ จึงได้ขยายการทำงานเชิงรุกใน 2 ส่วน ได้แก่ 1. ขยายกิจกรรมร่วมกับกรุงเทพมหานครและภาคีงดเหล้าลดปัจจัยเสี่ยงในชุมชน เพื่อร่วมดูแลสังคมในพื้นที่ชุมชนเขตกรุงเทพมหานคร โดยขยายผลจากการดำเนินการ “ด่านหวังดี” ในพื้นที่นำร่องที่เขตหลักสี่และเขตบึงกุ่ม จาก 2 เขตในปี 2568 เป็น 12 เขต 72 ชุมชน 61 ด่านหวังดี เพื่อช่วยกันดูแลผู้ที่มีความเสี่ยงในชุมชน

นายวิษณุ กล่าวต่อว่า 2. สร้างทางเลือกในการเฉลิมฉลองปีใหม่แบบไร้แอลกอฮอล์ ผ่านกิจกรรมนวเภรีล้านนา น้อมไหว้สาสดุดี สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวงร่วมกับเครือข่ายชุมชนเมืองรักษ์เชียงใหม่ เป็นการเฉลิมฉลองปีใหม่แบบล้านนาด้วยกลองล้านนา 9 ชนิด พร้อมการแสดงศิลปะพื้นบ้านและกาดหมั่วชุมชน ณ ลานพระบรมราชานุสาวรีย์สามกษัตริย์ วันที่ 31 ธ.ค. 2568 เวลา 17.00–00.00 น. หากเราร่วมกันสร้างทางเลือกเพื่อลดปริมาณการดื่มลงได้ ปัญหาและผลกระทบจากเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในช่วงเทศกาลปีใหม่ก็จะลดลง