กระทรวงอว. โดย สอวช. ร่วมกับ ม.ทักษิณ ผนึกกำลังขับเคลื่อน “นวัตกรรมสังคม” ด้วยมหาวิทยาลัยและดัชนีเชิงพื้นที่
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดย สำนักงานสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ (สอวช.) ร่วมกับ มหาวิทยาลัยทักษิณ จัดงานเสวนา “From Local Research to National Impact : ขับเคลื่อนนวัตกรรมทางสังคมด้วยมหาวิทยาลัยและดัชนีเชิงพื้นที่” พร้อมจัดพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือการพัฒนาและขับเคลื่อนการนำดัชนีนวัตกรรมทางสังคมที่เหมาะสมสำหรับสถาบันอุดมศึกษาไทยไปใช้ประโยชน์ ณ ห้อง Diamond Dome 2 โรงแรม Queensland Hotel Bangkok กรุงเทพมหานคร ซึ่งการจัดงานครั้งนี้มีเป้าหมายเพื่อร่วมกันออกแบบกลไกการพัฒนาพื้นที่รูปแบบใหม่ โดยใช้ข้อมูลงานวิจัย ชุมชน และดัชนีเชิงพื้นที่ เป็นเครื่องมือสำคัญในการสร้างทางออกที่แม่นยำกว่าวิธีเดิม เพิ่มคุณภาพชีวิตประชาชน สร้างเศรษฐกิจฐานราก และลดความเหลื่อมล้ำอย่างยั่งยืน

รศ. ดร.ณฐพงศ์ จิตรนิรัตน์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยทักษิณ กล่าวว่า ท่ามกลางความคาดหวังของสังคม มหาวิทยาลัยจำเป็นต้องก้าวข้ามบทบาทการผลิตองค์ความรู้ ไปสู่การเป็นกลไกหลักในการขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศอย่างรอบด้าน ผ่านวิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม (ววน.) โดยเฉพาะประเด็น “นวัตกรรมสังคม” ที่เชื่อมโยงองค์ความรู้กับบริบทพื้นที่จริง การพัฒนาดัชนีนวัตกรรมสังคมของประเทศไทย (Thailand Social Innovation Index) ไม่เพียงทำให้มหาวิทยาลัยสามารถสร้างและแสดงผลกระทบเชิงสังคมได้อย่างชัดเจน วัดผลได้ และขยายผลเชิงนโยบายได้จริงเท่านั้น หากยังเป็นการเปิด “สนามใหม่” ของการผสานความร่วมมือระหว่างภาคีจากหลากหลายภาคส่วนบนฐานของความเท่าเทียม เพื่อร่วมกันส่งมอบคุณค่าและการพัฒนาสังคม พร้อมกับยกระดับบทบาทของมหาวิทยาลัยให้เป็นส่วนหนึ่งของสังคมที่พึ่งพาได้อย่างแท้จริง
ดร.สุชาต อุดมโสภกิจ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สอวช. กล่าวว่า การเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของประเทศ ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และเทคโนโลยี ควบคู่กับปัญหาความเหลื่อมล้ำและความท้าทายเชิงโครงสร้างที่ยังคงอยู่ การพัฒนาประเทศจึงจำเป็นต้องอาศัยวิธีคิดและกลไกใหม่ ที่ตอบโจทย์ความต้องการของชุมชนอย่างแท้จริง ผ่านความร่วมมือจากหลายภาคส่วน ความร่วมมือนี้นับเป็นก้าวสำคัญในการยกระดับบทบาทของสถาบันอุดมศึกษาไทย ให้เป็นพลังหลักในการสร้างนวัตกรรมสังคมและผลกระทบเชิงพื้นที่อย่างยั่งยืน พร้อมวางรากฐานมาตรฐานใหม่ของการพัฒนานวัตกรรมสังคมที่สอดคล้องกับบริบทของสังคมไทย
ดร.ชัยธร ลิมาภรณ์วณิชย์ ผู้อำนวยการฝ่ายยุทธศาสตร์นวัตกรรม สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (NIA) กล่าวในหัวข้อ “Innovation Index : ดัชนีนวัตกรรมกับการเปลี่ยนผ่านเศรษฐกิจฐานเอกลักษณ์พื้นที่” โดยเน้นว่า นวัตกรรมไม่ใช่เพียงเทคโนโลยี แต่คือกระบวนการใช้ความรู้เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิต สังคม และสิ่งแวดล้อมอย่างวัดผลได้จริง และลดความเหลื่อมล้ำ ทั้งนี้ นวัตกรรมเพื่อสังคมเป็นกลไกสำคัญในการแก้ปัญหาจริงของชุมชน เชื่อมโยง SDGs ภายใต้แนวคิด People–Planet–Profit และต้องอาศัยระบบนิเวศนวัตกรรมที่ครบวงจร รวมถึงเครื่องมือวัดผลกระทบทางสังคม โดยการพัฒนาต้องมองเชิงระบบและความร่วมมือข้ามภาคส่วน มากกว่าการทำโครงการระยะสั้น

สำหรับนวัตกรรมเมือง ดร.ชัยธร ชี้ว่า เมืองคือศูนย์กลางการเปลี่ยนแปลง การพัฒนาต้องยึดอัตลักษณ์พื้นที่ ผสานนวัตกรรม และความร่วมมือแบบ Quintuple Helix เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตและสร้างเศรษฐกิจใหม่อย่างไม่ทิ้งคนในพื้นที่ พร้อมย้ำว่า Innovation Index ไม่ใช่ดัชนีจัดอันดับ แต่เป็นเครื่องมือเปลี่ยนวิธีคิดการพัฒนาจากตัวเลขสู่คุณภาพชีวิต และจากส่วนกลางสู่พื้นที่
ด้าน รศ. ดร.สมัคร แก้วสุกแสง รองอธิการบดีฝ่ายวิจัยและนวัตกรรม มหาวิทยาลัยทักษิณ กล่าวว่า มหาวิทยาลัยทักษิณได้ปรับบทบาทสู่การเป็น “เครื่องยนต์นวัตกรรมสังคม” โดยพัฒนาระบบนิเวศวิจัยและนวัตกรรมแบบครบวงจร ตั้งแต่โครงสร้างพื้นฐานด้านวิจัย การถ่ายทอดเทคโนโลยี กลไกทรัพย์สินทางปัญญา การจัดตั้ง Holding Company ไปจนถึงการพัฒนาผู้ประกอบการนวัตกรรม สตาร์ทอัพ และ Spin-off พร้อมเชื่อมงานวิจัยกับผู้ใช้จริง ตลาด และชุมชน ผ่านการทำงานแบบมีส่วนร่วมและพื้นที่เรียนรู้ร่วม (Social Community Lab) เพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงพื้นที่อย่างยั่งยืน กล่าวคือกลไกขับเคลื่อนด้านนวัตกรรมสังคมของมหาวิทยาลัยทักษิณ ครอบคลุม 5 ประเด็นสำคัญ ได้แก่ 1) TSU Governance and Policy Environment 2) TSU Funding and Support Mechanisms 3) TSU Academic and Community Engagement 4) TSU Student and Faculty Mindset และ 5) TSU Institutional Capacity
ขณะที่ รศ. ดร.อุเทน คำน่าน รองผู้อำนวยการ หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนาระดับพื้นที่ (บพท.) กล่าวว่า บพท. ขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาความยากจนและความเหลื่อมล้ำเชิงพื้นที่ภายใต้แนวคิด Data for Social Innovation โดยบูรณาการข้อมูลชุมชน งานวิจัย ดัชนีเพื่อทางออกที่ตอบโจทย์พื้นที่ ผ่านกลไกการทำงานแบบ Area-based Collaborative Mechanism ปัจจุบันได้พัฒนาระบบข้อมูลสำคัญ อาทิ TPMAP, PPPConnect และระบบสนับสนุนการตัดสินใจ (DSS) เชื่อมโยงข้อมูลครัวเรือนยากจนกว่า 1.6 ล้านคน ครอบคลุมความยากจน 5 มิติ และนำไปสู่การพัฒนา โมเดลแก้จนเชิงปฏิบัติ 299 โมเดล ในพื้นที่เป้าหมาย 20 จังหวัด สร้างผลลัพธ์ทั้งเชิงพื้นที่และเชิงนโยบายอย่างเป็นรูปธรรม
ด้าน ดร.สุชาต กล่าวเพิ่มเติมว่า ประเทศไทยมีศักยภาพพร้อมยกระดับระบบนิเวศนวัตกรรมสังคมสู่ระดับโลก แต่ความท้าทายสำคัญคือปัญหา “ความไม่เชื่อมโยงของระบบ (Failure of Linkage)” ระหว่างนโยบายระดับชาติ การขับเคลื่อนในพื้นที่ และการใช้ข้อมูลเชิงประจักษ์ในการตัดสินใจ สอวช. จึงผลักดันการพัฒนาดัชนีนวัตกรรมสังคม เพื่อเป็นเครื่องมือเชิงยุทธศาสตร์ที่เชื่อมองค์ความรู้ งานวิจัย และข้อมูล เข้ากับการกำหนดนโยบายและการจัดสรรทรัพยากรได้อย่างตรงจุด
ดร.สุชาต กล่าวว่า การพัฒนานวัตกรรมสังคมของไทยต้องตั้งอยู่บนเสาหลัก 3 ประการ ได้แก่ 1) นโยบายระดับชาติ ที่ทำหน้าที่กำหนดภาพใหญ่ เป้าหมายร่วม และกรอบเชิงยุทธศาสตร์ของประเทศ 2) การขับเคลื่อนในระดับพื้นที่ ซึ่งเป็นแหล่งกำเนิดนวัตกรรมจากปัญหาจริงของชุมชน ผ่านการมีส่วนร่วม การประเมินความต้องการ และการพัฒนาต้นแบบที่เหมาะสมกับบริบท 3) ข้อมูลและดัชนีชี้วัด ที่ทำหน้าที่เป็นฐานของการตัดสินใจ การวัดผลกระทบ การเรียนรู้ และการถอดบทเรียนเชิงระบบ
“อย่างไรก็ตาม หากทั้งสามเสาหลักนี้ไม่ถูกเชื่อมโยงเข้าด้วยกันอย่างเป็นระบบ จะทำให้ยุทธศาสตร์ระดับชาติไม่สามารถตอบโจทย์พื้นที่ นวัตกรรมไม่สามารถขยายผลได้ และข้อมูลไม่ถูกนำไปใช้ประโยชน์อย่างแท้จริง ส่งผลให้ทรัพยากรถูกใช้ไปโดยไม่ก่อให้เกิดผลลัพธ์เชิงเปลี่ยนแปลงในระยะยาว” ดร.สุชาต กล่าว

ดร.สุชาต ย้ำว่า อนาคตของนวัตกรรมสังคมไทยต้องมุ่งสู่ ระบบนิเวศแบบบูรณาการ (Integrated Ecosystem) ที่เชื่อมระดับชาติ ระดับพื้นที่ และระดับปฏิบัติ ผ่านความร่วมมือจากทุกภาคส่วน และการใช้ข้อมูลและดัชนีชีวิตแบบบูรณาการเป็นฐานการตัดสินใจ เพื่อสร้างการเรียนรู้ทั้งระบบ ลดความซ้ำซ้อน และปลดล็อกคุณค่าเชิงระบบ นำไปสู่การพัฒนาประเทศที่ลดความเหลื่อมล้ำและยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชนอย่างยั่งยืน
การเสวนาครั้งนี้ชี้ให้เห็นว่า “นวัตกรรมสังคม” ต้องอาศัยความร่วมมือจากหลายภาคส่วน โดยเฉพาะมหาวิทยาลัยที่มีบทบาทสำคัญในพื้นที่ สามารถเป็นตัวเร่งการเปลี่ยนแปลงผ่านการถ่ายทอดองค์ความรู้ งานวิจัยเชิงพื้นที่ และการใช้ข้อมูลสนับสนุนเชิงนโยบาย การพัฒนาดัชนีนวัตกรรมทางสังคมที่สอดคล้องกับบริบทไทยเพื่อวัดผล ติดตามความก้าวหน้า และขยายผลการพัฒนาอย่างเป็นระบบจึงเป็นอีกกลไกที่สำคัญเพื่อลดความเหลื่อมล้ำและยกระดับคุณภาพชีวิตในระยะยาว

